spot_imgspot_img
spot_img
หน้าแรกANALYSIS BY THAIFRXเงินเยนแข็งค่าขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องการเข้าแทรกแซง

เงินเยนแข็งค่าขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องการเข้าแทรกแซง

เงินเยนแข็งค่าขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องการเข้าแทรกแซง

ค่าเงินเยนปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากคำเตือนที่รุนแรงของทางการญี่ปุ่น และความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย

1. แรงกดดันจากการเข้าแทรกแซงและนโยบายการเงิน

  • คำเตือนจากรัฐมนตรีคลัง: รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น ซัตสึเกะ คาตายามะ (Satsuki Katayama) ส่งสัญญาณเตือนที่รุนแรงที่สุด โดยระบุว่าทางการ “มีอิสระเต็มที่” (free hand) ในการใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อจัดการกับการเก็งกำไรที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

  • ทิศทางดอกเบี้ยที่สวนทาง:

    • BoJ: ธนาคารกลางญี่ปุ่นเพิ่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงสุดในรอบ 30 ปีที่ 0.75% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และผู้ว่าการฯ คาซูโอะ อุเอดะ ยังคงเปิดกว้างสำหรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกหากเศรษฐกิจเป็นไปตามคาด

    • Fed: ในทางตรงกันข้าม ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปี 2026 ซึ่งทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยแคบลงและกดดันคู่เงิน USD/JPY

2. ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์และสภาพคล่อง

  • สินทรัพย์ปลอดภัย: ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-เวเนซุเอลา, สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ และความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ทำให้นักลงทุนย้ายเงินเข้าสู่เงินเยนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

  • สภาพคล่องต่ำ: ช่วงปลายปีที่มีปริมาณการซื้อขายเบาบาง (thin liquidity) ทำให้ความผันผวนของราคาเพิ่มสูงขึ้น

3. มุมมองทางเทคนิค (Technical Analysis)

  • Double-Top Pattern: กราฟ USD/JPY ก่อตัวเป็นรูปแบบ bearish double-top บริเวณระดับ 158.00 ซึ่งเป็นสัญญาณลบ

  • ระดับแนวรับ/แนวต้าน:

    • หากราคาหลุดต่ำกว่า 156.05 (Fibonacci 50%) มีโอกาสปรับตัวลงต่อสู่ 155.66

    • ในทางกลับกัน หากฟื้นตัวผ่าน 156.44 อาจขยับขึ้นไปทดสอบ 156.93

  • เครื่องชี้วัด: MACD เริ่มแสดงแรงส่งด้านลบ (negative histogram) และ RSI อยู่ในระดับเป็นกลาง (47.40) หลังจากถอยลงมาจากเขตซื้อมากเกินไป (overbought)


สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป

  • ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ (วันอังคาร): การประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3 และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders)

  • ข้อมูลเศรษฐกิจญี่ปุ่น (วันศุกร์): ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของโตเกียว ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางเงินเฟ้อและนโยบายของ BoJ ในระยะสั้น

 

การปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ในช่วงเดือนธันวาคม 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในรอบหลายทศวรรษ โดยมีการยกระดับความเข้มงวดเพื่อนำเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ (Policy Normalization) นี่คือรายละเอียดเจาะลึกที่สรุปจากเหตุการณ์ล่าสุดครับ

1. การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Decision)

ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2025 ที่ผ่านมา BoJ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Short-term Interest Rate)

  • อัตราใหม่: ปรับขึ้น 0.25% สู่ระดับ 0.75%

  • ความสำคัญ: นี่คือระดับอัตราดอกเบี้ยที่ สูงสุดในรอบ 30 ปี (นับตั้งแต่ปี 1995) สะท้อนถึงการสิ้นสุดยุคดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษอย่างถาวร


2. เหตุผลและปัจจัยหนุน (Key Drivers)

ผู้ว่าการฯ คาซูโอะ อุเอดะ (Kazuo Ueda) ได้ให้เหตุผลสำคัญในการแถลงข่าวไว้ดังนี้:

  • เงินเฟ้อที่ฝังตัว (Sticky Inflation): อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ยังคงยืนเหนือเป้าหมาย 2% อย่างต่อเนื่อง (ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 2.7% – 3%)

  • วงจรค่าจ้างและราคาสินค้า: BoJ มีความมั่นใจมากขึ้นว่าการปรับขึ้นค่าจ้าง (Wage Hikes) จากการเจรจา “ชุนโต” (Shunto) ในปีหน้าจะยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าและบริการได้อย่างยั่งยืน

  • แรงกดดันจากค่าเงินเยน: เงินเยนที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2025 ได้ส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าพุ่งสูงขึ้น จนกลายเป็นปัจจัยลบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค การขึ้นดอกเบี้ยจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสกัดกั้นความอ่อนแอของค่าเงิน


3. มุมมองต่อเศรษฐกิจและดอกเบี้ยในอนาคต

แม้จะขึ้นดอกเบี้ย แต่ BoJ ยังคงมีท่าที “ระมัดระวัง” ในการสื่อสาร:

  • ดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบ: BoJ ย้ำว่าแม้จะขึ้นดอกเบี้ยเป็น 0.75% แต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) เมื่อหักลบเงินเฟ้อแล้วยังคง ติดลบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหมายความว่านโยบายการเงินยังคงช่วยสนับสนุน (Accommodative) เศรษฐกิจอยู่

  • เพดานดอกเบี้ยเป้าหมาย (Neutral Rate): นายอุเอดะได้ระบุถึงระดับดอกเบี้ยที่เป็นกลาง (ระดับที่ไม่กระตุ้นและไม่ฉุดรั้งเศรษฐกิจ) ว่าน่าจะอยู่ที่ช่วง 1.0% ถึง 2.5% ซึ่งหมายความว่ายังมีช่องว่างให้ขึ้นดอกเบี้ยได้อีกในอนาคต

  • ไทม์ไลน์การขึ้นครั้งต่อไป: นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า BoJ อาจจะเว้นช่วงเพื่อประเมินผลกระทบ โดยอาจมีการขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งสู่ระดับ 1.0% ในช่วงเดือนเมษายน หรือกรกฎาคม 2026


4. ผลกระทบต่อตลาดเงิน (Market Impact)

  • ค่าเงินเยน: หลังการประกาศ แม้เยนจะแข็งค่าขึ้นในช่วงแรก แต่ตลาดยังคงมีความผันผวนสูงเนื่องจากนักลงทุนรับรู้ข่าวไปบางส่วนแล้ว (Priced-in) อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะยาวของเยนเริ่มเปลี่ยนเป็นขาแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่เริ่มมีทิศทางดอกเบี้ยขาลง

  • พันธบัตรรัฐบาล (JGB): อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี สะท้อนถึงการปรับตัวของตลาดต่อต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น

ข้อสังเกต: การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ (Sanae Takaichi) ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคม และดูเหมือนจะยอมรับแนวทางการปรับนโยบายสู่ภาวะปกติของ BoJ เพื่อแก้ปัญหาค่าเงินเยนอ่อน

spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisment -
Technical Summary Widget Powered by Investing.com

ANALYSIS BY THAIFRX

Translate »